จากต้นปี 2563 ที่ได้เริ่มมีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส โควิด-19 ได้มียอดจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในเวลาไม่นานจนล่าสุดเมื่อต้นเดือนเมษายน 2563 ได้เริ่มมีจำนวนผู้ติดเชื้อลดต่ำลง ซึ่งดูเหมือนจะเป็นแนวโน้มที่ดี แต่นั้นยังคงไม่สามารถทำให้เราสบายใจได้ เพราะอะไรมาดูกัน

จากต้นเดือนเมษายนจนถึงวันที่ 15 เมษายน 2563 ก็ผ่านมาแล้ว 1-2 สัปดาห์ ที่มีตัวเลขผู้ป่วยลดต่ำลงเหลือระดับ 30-40 คน ในทุกวัน โดยนั้นสะท้อนให้เห็นว่ามาตรการต่างๆ และสิ่งที่คนไทยช่วยกัน สามารถทำให้ “ลดความชัน” ของกราฟจำนวนผู้ป่วยรายวันได้ ซึ่งนั้นส่งผลให้ประชาชนเริ่มเกิดความสบายใจที่ยอดจำนวนผู้ติดเชื้อเริ่มลดลงจากที่เพิ่มขึ้นมาตลอด

แต่ในความเป็นจริงแล้ว “หน้างาน” ยังคงมีข้อกังวลในหลายๆอย่างที่ทำให้ประเทศไทย ยังไม่สามารถลดหรือยกเลิกข้อบังคับในหลายๆอย่างลงได้ ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของการประกาศ “เคอร์ฟิว” ที่ยังคงกำหนดไว้เวลา 22.00-04.00 น. หรือแม้แต่การลดข้อบังคับเรื่องการอนุญาตให้เปิดร้านค้าบางอย่างเพราะยังมีหลายเรื่องที่ทาง ศูนย์โควิด-19 ยังไม่สามารถจัดการได้หมด และยังเป็นที่สงสัยว่า สถานการณ์การระบาดของไวรัสชนิดนี้ อยู่ตรงไหน ที่ทำให้เรายังคงไม่สามารถลดหรือยกเลิกประกาศได้ จากที่ admin ได้ไปรวบรวมหาข้อมูลมา ทราบว่า ได้มี 3 ปัจจัยที่น่าจะเป็นส่วนที่ทำให้เรายังไม่วางใจกับไวรัสนี้ได้
อ่านข่าว COVID-19 เพิ่มเติมได้ที่ :
ทำไมต่างประเทศรณรงค์ไม่ควรใส่หน้ากากอนามัย?
จากวิกฤต COVID-19 กำลังให้บทเรียนอะไรเรา ?
ETDA แนะนำผลิกวิกฤต Covid-19 ให้เป็นโอกาส
!!! โควิด-19 ไวรัสหยุดโลก !!!
COVID-19 อันตรายถึงชีวิต!!
(1) ยังมีผู้ป่วย และผู้เสียชีวิตที่ “หลุด” จากระบบ

จากตัวอย่างข่าวที่มี ผู้เสียชีวิตรายที่ 40 ซึ่งเป็นชายไทย อายุ 43 ปี ซึ่งได้เคยเข้าระบบการรักษาเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2563 แต่ไม่ได้รับการตรวจโควิด-19 ต่อมาได้กลับเข้ามาที่โรงพยาบาลอีกครั้ง ในวันที่ 9 เมษายน 2563 ตรวจพบว่ามีอาการที่แย่ลง และในท้ายที่สุดผู้ป่วยรายนี้ ก็ได้เสียชีวิตลงในวันที่ 11 เมษายน 2563 ด้วยภาวะหัวใจล้มเหลว
จากข่าวที่ได้ยกตัวอย่างไป สังเกตุได้ว่า ผู้ป่วยที่เข้าเกณฑ์สอบสวนโรคมักจะต้องมีประวัติใกล้ชิดกับผู้ป่วยเดิม แต่ทั้งคู่ไม่ได้เข้าข่ายใดๆ เมื่อมองย้อนกลับไปก็ได้มีเคสผู้เสียชีวิต ในลักษณะนี้อีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งนั้นเป็นการ “หลุด” จากระบบตรวจของทางโรงพยาบาล โดยหากยังคงเกิดเคสลักษณะนี้อีกอาจทำให้จำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้นในท้ายที่สุด
(2) จำนวนตรวจ ที่ยังไม่แน่ไม่วางใจ

แต่ถึงแม้จะมีการจำนวนชุดตรวจ จาก กระทรวงสาธารณสุข ทางทีมแพทย์บางส่วน ก็ยังคงมีเสียงบ่น จากพื้นที่จริงว่า ยังคงขอ “โค้ด” เพื่อให้ผู้ต้องสงสัยว่าป่วย เข้าเกณฑ์ผู้ป่วยสอบสวนโรค (Patient Under Investigation : PUI) ยากเหมือนเดิม ซ้ำยังมีเสียงลือด้วยว่า บางจังหวัด นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดได้รับ “คำขอ” มาจากผู้ว่าราชการจังหวัด ให้ “กด” ตัวเลข PUI ให้ต่ำ เพราะจังหวัดกำลังถูก “จับตา” เนื่องจากมีผู้ป่วยเข้าเกณฑ์ PUI หรือมีผู้ป่วยโควิด – 19 สูงเกินไป
ด้วยเหตุนี้ ในการขอ “โค้ต” เพื่อตรวจผู้ป่วยจึงยังคงยากลำบาก ซึ่งไม่เป็นผลดีเลย เพราะผู้ป่วยที่หยุด PUI ย่อมมีความเสี่ยงที่อาจนำไปสู่การแพร่เชื้อให้กับคนอื่น ๆ หรือแม้แต่บุคลากรทางการแพทย์ ได้ นั่นจึงเป็นข้อเรียกร้องของแพทย์หลายคน ให้ขอ “โค้ด” ได้ง่ายขึ้น รวมถึงเปิดเผยตัวเลขเทสต์ในแต่ละวัน ควบคู่ไปกับจำนวนผู้ป่วยใหม่ด้วย ซึ่งยังไม่รู้ว่าศูนย์โควิด จะตอบสนองเมื่อใด..
(3) โรคหน้าฝน “ไข้เลือดออก – ไข้หวัดใหญ่” จะรุมเร้า

อย่างเป็นที่รู้กันว่า จากกลางเดือนเมษายน ที่เป็นช่วงฤดูร้อน อีกไม่นานก็เข้าหน้าฝน ซึ่งเป็นต้นต่อของการระบาดของไข้หวัดต่างๆ เพราะสภาพอากาสที่ “เอื้ออำนวย” เป็นอย่างยิ่ง
ทั้งโควิด–19 ไข้เลือดออก และไข้หวัดใหญ่ ต่างก็มีอาการเบื้องต้นคือ มีไข้ ปวดหัว ปวดกล้ามเนื้อ อ่อนเพลีย เจ็บคอ ทำให้ผู้ป่วย โควิด–19 หลายคน ถูกวินิจฉัยว่าเป็นทั้งไข้เลือดออก ทั้งไข้หวัดใหญ่ กว่าจะรู้ว่าวินิจฉัยผิด อาการบางคนก็ “ไปไกล” แล้ว และเมื่อเข้าใกล้ฤดูฝน การคัดกรองผู้ป่วยโควิด นั้นจะยากเข้าไปอีก เพราะในเบื้องต้น เราจะไม่สามารถทราบได้ว่า ผู้ป่วย ป่วยด้วยโรคใดกันแน่ และหลายครั้ง การตรวจหาเชื้อโคโรนาไวรัส 2019 ก็ทำได้ยากเย็น ตรวจรอบแรกไม่เจอ ไปเจอรอบ 2-3 จนต้องกักตัวบุคลากรทางการแพทย์มากมายก็มี ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นล้วนเป็นเรื่องที่ต้องบริหารจัดการอย่างหนัก
เหตุและปัจจัยของการเปลี่ยนฤดูกาล จึงเป็นเรื่องที่บุคลากรทางการแพทย์ ต้อง “แข่งกับเวลา” รีบเคลียร์โควิด–19 ให้จบก่อนหน้าฝน เพื่อป้องกันไม่ให้การจัดการโรคติดต่ออื่นๆ ซับซ้อนยิ่งขึ้น
จาก 3 ปัจจัยที่ได้กล่าวมา เป็นเพียงส่วนหลักที่ไม่อาจทำให้ลดหรือยกเลิกการประกาศต่างๆ ได้
“สิ่งที่พวกเราจะสามารถช่วยกันได้คือการซื่อสัตย์กับตัวเอง หากมีความเสี่ยงให้รีบไปพบหมอทันที และค่อยดูแลอาการตัวเองและคนรอบข้างอยู่เสมอ”

ทางเรามี 1 ผลิตภัณฑ์ ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นรูปทรงที่เล็กกะทัดรัด และที่ลวดลายที่หรูหรา ที่สำคัญมีการใช้งานที่ง่ายๆ มาก เพียงแต่นำหัวน้ำยาใส่ก็สามารถสูบได้เลย ในทางกลับกัน บุหรี่ไฟฟ้า ต้องมีการทำลวด ใส่สำลี และหยดน้ำยา ถึงจะสามารถสูบได้ ทุกคนอ่านแล้วคิดว่ามันสะดวกและดีใช่ไหมล่ะผลิตภัณฑ์ที่เราจะแนะนำนั้นก็คือ “ RELX ” หากคุณกำลังมองหาวิธีการเลิกบุหรี่ หรือหาสิ่งทดแทน คุณห้ามพลาด RELX สามารถตอบโจทย์คุณได้อย่างแน่นอน อย่ารอช้าลองเลย



และ เราขอนำเสนอ เทคโนโลยีใหม่ล่าสุดในปี 2020
KARDINAL STICK POD



ด้วยความปราถนาดีจาก
: RELX
THAILAND
https://relxthailandclub.com/
: KARDINAL
STICK THAILAND
https://kardinalthailand.com/
#relx
#relxthailand
#สุขภาพที่ปลอดภัย
#Kwitsmoking
#ksThailand
#kardinalstick
#ks
#kardinalstickth
#เลิกบุหรี่
#นวัตกรรมช่วยเลิกบุหรี่
1,057 total views, 1 views today